อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ทำให้บางครั้งก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันนะคะว่า เพลียแดด หรืออ่อนเพลียจากสาเหตุภายใน ไม่รู้ว่าร่างกายกำลังสื่อสารอะไรอยู่ ยิ่งอากาศร้อน ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งสับสนกันไปใหญ่เลยค่ะว่า ตัวร้อนเพราะไข้ หรือไอแดดกันแน่?
ถ้าอยากรู้แบบชัดเจนว่า เป็นไข้จริงไหม ก็คงต้องใช้ปรอทวัดไข้กันหน่อยนะคะ ถ้าวัดอุณหภูมิทางปากแล้วได้ ≥ 37.8 องศาเซลเซียส แบบนั้นเรียกว่าเป็นไข้แล้วค่ะ ส่วนสาเหตุอะไรที่จะทำให้เป็นไข้ได้บ้างนั้น ตามมาดูกันเลยค่ะ
1. เป็นไข้ เพราะอะไรแน่ ?
ไข้ที่เป็นแบบเฉียบพลัน (Acute Febrile Illness) จะใช้เรียกไข้ที่เป็นไม่เกิน 7 วัน ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 90 เกิดจากการติดเชื้อ ทั้งการติดเชื้อเฉพาะที่แค่บางอวัยวะ หรืออาจเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด แบบเป็นพร้อมกันหลายระบบ แต่มีอาการแสดงไม่ชัดเจน ไม่ทราบสาเหตุชัดเจนก็ได้นะคะ
ส่วนไข้ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ พบได้น้อยแต่มักเกิดจากโรคมี่ทีสาเหตุรุนแรงเช่น มะเร็งเม็ดเลือด, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง, โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองเช่น เอสแอลอี (Systemic Lupus Erythematosus, SLE), โรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ (Graves’ Disease) เป็นต้น
2. ไข้แบบเฉียบพลันที่มีสาเหตุชัดเจน (Acute Febrile Illness with Localized Infection)
- ระบบทางเดินหายใจ : ในช่วงแรกมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้มีอาการเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูกใส หรือมีไข้ต่ำ ๆ ได้ บางคนอาจสังเกตเห็นว่า ต่อมทอนซิลบวมแดง หรือคอแดงแบบมีจุดสีขาวกระจายทั่ว ๆ
ถ้ายังมีอาการแบบนี้ต่อเนื่องจนถึง 5-7 วัน มักจะมีการติดเชื้อซ้ำจากแบคทีเรีย จะมีไข้สูงลอย จนน้ำมูกหรือเสมหะเปลี่ยนสี อาจลุกลามกลายเป็นติดเชื้อในปอด (Pneumonia) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ปอดบวมได้เลย
- ระบบหัวใจ : ประวัติการทำฟัน ผ่าตัดฟัน มักสัมพันธ์กับการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ทำให้มีไข้สูง เหนื่อยง่ายขึ้น อาจรู้สึกใจหวิว ๆ ด้วยก็เป็นได้ค่ะ
- ระบบประสาท : เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่จะมีไข้สูงมาก อาจสูงถึง 39-41 องศาเซลเซียส ร่วมกับปวดหัวมาก คอแข็งแบบที่ก้มหน้าไม่ได้เลย อาเจียนพุ่ง แขนขาอ่อนแรง หรือถ้าอาการหนักมาก อาจชัก หรือซึมไปเลยนะคะ
- ระบบทางเดินอาหาร : ถ้ารับประทานอาหารที่ไม่สะอาด หรือปรุงไม่สุก ก็จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินอาหาร ทำให้มีไข้ ท้องเสีย อาจถ่ายเป็นมูก หรือมีเลือดปนในอุจจาระ
บางคนที่เป็นไข้ จากถุงน้ำดีหรือท่อน้ำดีอักเสบ อาจมีอาการเจ็บใต้ชายโครงขวา ซึ่งแสดงถึงการอักเสบของตับ ร่วมกับอาการตัวเหลืองตาเหลืองได้ค่ะ หรือถ้าใครเป็นไข้จากฝีในตับก็อาจมีไข้สูงลอย ปวดตับมากจนขยับไม่ได้เลยก็มีนะคะ
- ระบบทางเดินปัสสาวะ : ผู้หญิงมีทางเดินปัสสาวะสั้น ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้มากกว่า โดยจะมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะลำบาก หรืออาจมีเลือดปนในปัสสาวะ มีไข้ คลื่นไส้อาเจียนได้ ถ้าไม่ได้รับยาฆ่าเชื้อ อาจลุกลามกลายเป็นติดเชื้อที่ไต จนเป็นกรวยไตอักเสบเลยก็ได้นะคะ
ถ้าใครติดเชื้อซ้ำบ่อย ๆ ในรอบปี โดยเฉพาะคุณผู้ชาย แนะนำให้ไปตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เพราะอาจเป็นการติดเชื้อที่มีสาเหตุ ที่ต้องได้รับการแก้ไขค่ะ
- ระบบสืบพันธุ์ : การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างเริม ทำให้มีไข้ โดยไม่รู้ตัว เพราะบางครั้งแผลมีขนาดเล็ก จนสังเกตไม่เห็น หรือเป็นแผลที่อยู่ด้านในทำให้ไม่ทราบที่มาของอาการไข้ได้เหมือนกันนะคะ
แต่แผลบางอย่างบริเวณอุ้งเชิงกราน ถ้าปล่อยให้ติดเชื้อกลายเป็นเนื้อตาย (Fournier Gangrene) โดยไม่ได้รับการรักษา อาการอาจทรุดลงเร็วภายในแค่ 4-6 ชั่วโมงแรกก็เป็นได้ค่ะ
- ระบบกล้ามเนื้อและผิวหนัง : ถ้ามีการติดเชื้อที่ผิวหนัง อาจทำให้มีไข้ต่ำ ๆ อยู่ตลอด ถ้าการติดเชื้อลุกลามจนเข้าชั้นกล้ามเนื้อ อาจทำให้ปวด บวม ไข้สูง จนช็อก ความดันโลหิตต่ำอย่างรวดเร็วได้เลยนะคะ
เป็นไข้แต่ละครั้ง ทำให้ชีวิตหมดสนุกไปเยอะเลย ทั้งอ่อนเพลีย ทั้งปวดตัว ปวดหัว เจ็บคอ ร้อนใน ทานอะไรก็ไม่อร่อย ดีไม่ดีท้องผูกอีกต่างหาก
แล้วทำไมต้องปล่อยให้ร่างกาย บอบช้ำไปไกลขนาดนั้น ในเมื่อเรามีตัวช่วยป้องกันการเกิดไข้ได้ง่าย ๆ ให้คูลแคปดูแลคุณสิคะ
3. ป้องกันไข้ด้วยคูลแคป
คูลแคปเป็นยา ที่ผลิตจากธรรมชาติแท้ 100% ประกอบด้วยสมุนไพรไทย 4 ชนิด ได้แก่ บอระเพ็ด, ส้มซ่า, ผักกาดน้ำ และโกฐน้ำเต้า เมื่อนำสรรพคุณมารวมกันแล้ว ฤทธิ์จากสมุนไพร จะช่วยผลักความร้อนออกจากร่างกาย เป็นการปรับสมดุลด้วยการระบายออกตามวิถีธรรมชาติ ทำให้คูลแคปสามารถป้องกันและบรรเทาไข้ แก้ร้อนใน แก้เจ็บคอ ขับเหงื่อและปัสสาวะ ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ อีกด้วยนะคะ
4.บทสรุป ห่างไกลไข้ด้วยคูลแคป
ไข้คือภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.8 องศาเซลเซียส ส่วนใหญ่ไข้แบบเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อมากกว่าร้อยละ 90 ไม่ว่าจะเป็นระบบใด อวัยวะไหนก็มีโอกาสเกิดการติดเชื้อ แล้วทำให้เกิดการอักเสบจนเป็นไข้ ร้อนในได้ทั้งนั้น
แต่ทำไมต้องรอจนร่างกายเป็นไข้ แล้วค่อยเริ่มรักษา ในเมื่อคุณสามารถป้องกันไข้ได้ด้วยการทานคูลแคปวันละ 2 แคปซูล เช้า-เย็น แค่นี้ก็บอกลาไข้ไปได้เลย
“ห่างไกลโรงพยาบาลง่าย ๆ แค่ใช้คูลแคป”